-My Journey- Taiwan - ไต้หวัน TRAVEL - exciting experiences

เที่ยวเกาะหมาจู่ ไต้หวัน – Matsu Island เกาะแห่งสนามรบ กับทะเลประกายฟ้า

“Matsu Island เกาะแห่งสนามรบกับทะเลประกายฟ้า”

ไปไต้หวันกี่ครั้ง ก็ประทับใจทุกครั้ง รีวิวนี้เป็นทริปที่ต่อเนื่องจาก เที่ยวไทเป – ฉบับกินดีอยู่ดี และ เที่ยวไถจง – เดินชมธรรมชาติ แต่ทริป เที่ยวไต้หวันครั้งนี้กลับกลายเป็นทริปที่ตื่นเต้นที่สุดของผม เพราะผมเลือกที่จะมา เกาะหม่าจู

ครั้งแรกที่ได้รู้จักเกาะหม่าจู (Matsu) ก็จากรูปแพลงก์ตอนเรืองแสงสีฟ้า หรือ Blue Tears ที่ทำให้คลื่นที่ซัดชายฝั่งกลายเป็นสีฟ้าประกาย เลยเลยหาข้อมูลเพิ่มเติม ปรากฎว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ Blue Tears แต่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราว ประวัติศาสตร์ด้านสงครามมากมาย เป็นที่ที่ไปยากมาก ต้องอาศัยจังหวะเวลา และโชคมากเหมือนกัน แต่ยังไงก็ตั้งใจว่าจะต้องไปให้ได้ มาไต้หวันครั้งนี้เลยพ่วง เกาะหม่าจู ไปด้วยซะเลย


ความพิเศษของเกาะหม่าจู (Matsu Island)

  1. เกาะหม่าจู เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ทางเหนือของไต้หวัน ใกล้ประเทศจีน ประกอบด้วย 5 เกาะ คือ Nangan, Beigan, Dongyin, Dongju, Xiju
  2. ที่นี่อยู่ระหว่างจีนกับไต้หวัน เคยเป็นดินแดนที่มีข้อพิพาทกับจีน เคยสนามรบและเต็มไปด้วยป้อมปราการ ทหาร กับดัก และหลุมหลบภัย
  3. เกาะหม่าจู อยู่ห่างจากเกาะไต้หวันมากๆ เรียกว่าเกือบติดชายแดนจีน แม้แต่คนไต้หวันเองยังไม่คิดจะมา
  4. คนบนเกาะพูดภาษาอังกฤษได้น้อย แต่ก็น่ารัก ให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเต็มที่
  5. เนื่องจากเป็นเกาะเล็กๆ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน การเดินทางโดยเครื่องบินหรือเรือ ก็มีโอกาสถูกยกเลิกได้

การเดินทางไปเกาะหม่าจู มี 2 วิธี

By Plane

ขึ้นเครื่องบิน ไปลงเกาะ Nangan หรือ Beigan ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง จองง่ายแต่มีโอกาส Cancel สูง
(ซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ แต่หากสภาพอากาศไม่ดี ก็จะถูก Cancel ได้ง่ายๆ)

By Taima Ferry

ขึ้นเรือจาก Keelung (จี้หลง) มีวันละ 1 รอบ เรือออกเวลา 10.00 pm ใช้เวลาเดินทาง 8-10 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
ขายตั๋ว 20.00 น. ของทุกวัน ค่า Ferry เที่ยวละ NT$1050 ต่อคน

Taiwan -> Matsu : Buy ticket at 7:30 pm / board at 9:00 pm / depart from Keelung at 9:50 pm
sleep on the boat. Sailing time 8-10 hours.

Nangan ->Taiwan : Buy ticket at 7:30 am / board boat at 8:30 am / depart from Nangan at 9:30 am
Arrive at Keelung 5-6.30pm

Dongyin -> Taiwan Buy a ticket between 2 pm and 5 pm the previous day from the Laoye Hotel / Board the ferry at 11:00 am on even days and 06:00 am on odd days.
Arrive at Keelung 5pm-6.30pm

โทรจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่(Keelung)02-24246868 – ต้องแจ้งชื่อ นามสกุล และหมายเลขพาสปอร์ตอย่างละเอียด


การเดินทางไป เกาะหม่าจู ขึ้นเฟอร์รี่จาก Keelung

เริ่มต้นที่ Keelung Station มาถึงแล้วต้องไปท่าเรือเพื่อเอาสัมภาระไปฝากไว้ที่ Locker ตรงท่าเรือ จะได้เที่ยวได้สบายตัว แล้วค่อยมาเอาตอนขึ้นเรือ

ไปท่าเรือโดยเดินออกไปทาง North Exit

เดินไปทาง North Exit ออกไปนอกสถานี แล้วมองหาฝั่งที่เป็นทะเล จะเจอกับ West Passenger Terminal

อาคารหน้าตาแบบนี้ วันนี้สังเกตง่ายหน่อยเพราะมีเรือสำราญลำใหญ่สะดุดตา เดินขึ้นประตูซ้ายสุด จะมีบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นจำหน่ายตั๋ว ขึ้นเรือ และตู้ฝากกระเป๋าครับ

หลังจากฝากกระเป๋าแล้ว ก็เที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ หลังจากเดินเล่นและหาของกินที่ตลาดกลางคืนก็ถึงเวลากลับไปรอซื้อตั๋ว

หากมีเวลาพอ ที่นี่ยังมีตลาดกลางคืนอันโด่งดัง Keelung Miaokou Night Market แต่บอกเลยว่าคนเยอะมากๆๆ ไม่สามารถไปสู้รบปรบมือได้จริงๆ

สุดท้ายได้แต่เดินชิวริมน้ำ แล้วหาขนมกินง่ายๆ และซื้อติดตัวขึ้นเรือไปนิดหน่อย

ก่อนเวลา 7:30 am ให้มารอเอาบัตรคิว แต่ถ้าใครโทรจองที่นั่งไว้แล้ว ก็แจ้งที่เคาท์เตอร์ได้เลย โดยจะต้องยื่น Passport ไปด้วย

บัตรขึ้นเรือ Taima Ferry หน้าตาเป็นแบบนี้ มีทั้งหมด 3 ส่วน เจ้าหน้าที่จะฉีกเก็บไว้ตามลำดับ บนตั๋วมีระบุ ชื่อ-สกุล และหมายเลขพาสปอร์ตอย่างชัดเจน


9:00 PM BOARDING / 9:50 DEPARTURE

9.00 น. ทุกคนก็ทะยอยเดินเข้าประตู โดยจะมีเจ้าหน้าที่ฉีกตั๋วเก็บไว้ เราก็ลากสัมภาระเข้าเครื่อง Scan ก่อนขึ้นเรือ

คราวนี้ก็เดินขึ้นงวงช้างไปยังบนเรือจะมีเจ้าหน้าที่ฉีกตั๋วอีกส่วนไว้ เราจะไปยังที่นอนกันก่อน ตามหมายเลขที่ระบุไว้ในตั๋ว

ที่นอนจะเป็นเตียง 2 ชั้น เรียงกันเป็นตับ กลิ่นสะอาด แอร์เย็นสบาย ที่นอนเป็นเบารองด้วยเสื่อไม้ไผ่ง่ายๆ พร้อมม่านกั้น ตู้เก็บของข้างเตียง ส่วนปลั๊กไฟไม่มีเป็นของตัวเองครับ จะต้องหาเอาตามผนัง บางทีอาจจะอยู่ไกลจากเตียงเรา ต้องลุ้นเอา

เมื่อเก็บของเรียบร้อย ก็ออกสำรวจเรือกัน ส่วนนี้เป็นส่วนของดาดฟ้าเรือไม่มีหลังคา

ตรงกลางมีโต๊ะกินข้าว หลายชุด สำหรับนั่งคุย นั่งเล่นรับลม

ด้านหน้าเรือจะมีห้องอาหาร ให้ทุกคนสามารถมานั่งกิน นั่งเล่น นั่งเคย พร้อมจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่สำคัญ มีปลั๊กไฟอยู่ตามผนัง สามารถมานั่งเล่นชาร์ตแบตไปด้วยก็ได้ แอร์เย็นเฉียบ

คืนนี้เรานอนบนเรือ Over Night ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-10 ชั่วโมง บังคับตัวเองให้นอน เตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยบนเกาะหม่าจู่ ในวันพรุ่งนี้


ไฮไลท์ระหว่างเดินเรือ ที่ห้ามพลาด

เราอาจดูพระอาทิตย์ขึ้นได้บ่อยๆ แต่จะมีกี่ครั้งที่จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นขณะอยู่กลางทะเลแบบนี้ ทันทีที่รู้สึกตัวก็รีบทะลึ่งพรวดขึ้นจากเตียง คว้ากล้องแล้วออกไปที่ระเบียงทันที!

ตอนนี้ท้องฟ้ารอบตัวเป็นสีทองอร่าม เหลืองทองจริงๆ สวยมากๆ เรือล่องไป อากาศหนาวช ลมแรงและเย็นมาก แต่สิ่งที่เราได้เห็นตอนนี้มันคุ้มค่าจริงๆ

ส่วนที่ไกลลิบๆนั่น คือหมอกที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเล ให้เราได้เห็นเกาะในบรรยากาศที่แปลกตา


Dongyin

สำหรับ Taima Ferry ที่เรานั่งมา จะจอด 2 จุดคือ Dongyin และ Nangan ประมาณตี 5.50 am เรือจอดที่เกาะแรกนั่นคือ เกาะ Dongyin แต่เรายังไม่ได้ขึ้นที่เกาะนี้ เราจะนั่งต่อไปยัง Nangan กันครับ

ที่จริงมารู้ทีหลังว่า ที่นี่ก็มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ไว้ค่อยมาตามเก็บละกั

ไหนๆก็ตื่นแล้ว นั่งรับลมที่ดาดฟ้าเรือ รอเรือไปถึงเกาะถัดไปเลยละกัน นั่งไปอีกไม่นานเรือก็จอดที่ Nangan


ถึงแล้ว Nangan(南竿島) เป้าหมายของเราในการมา Matsu Island

สุดท้ายก็มาถึง Nangan ประมาณ 9.00 น. ที่เลือกมา Nangan เพราะถือเป็นเกาะที่เจริญที่สุดใน Matsu Island มีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจหลายจุด และหากต้องการไปเที่ยว Nangan และ Beigan ก็สามารถนั่งเรือระหว่างเกาะได้ไม่ยาก (แต่รอบเรือมีจำกัด ควรวางแพลนเที่ยวล่วงหน้า)

เมื่อมาถึงแล้วจะเจอ Ferry Terminal ใหญ่โตแบบนี้ เดินตามพื้นหินออกมาเลย

สามารถขอข้อมูลการท่องเที่ยว และซื้อตั๋วสำหรับไปเกาะอื่น Tourist Information Center นี้ ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ 7-11

คืนนี้เราพักที่ Matsu 1st Hostel กับบ้านเก่าสุดคูลอายุกว่า 100 ปี โดยที่พักแบบ Dorm รวม มอเตอร์ไซค์ อยู่ที่ $1400 เดี๋ยวมาเล่ารายละเอียดกันอีกที เรานัดเจอเจ้าของ Hostel ที่นี่ เค้ามาพร้อมรถขนกระเป๋า แล้วก็เอากระเป๋าเราขึ้นรถไปเก็บที่พักให้ พร้อมมอบกุญแจมอเตอร์ไซค์ก็ให้ลุยเลยค้าบ .. เดี๋ยวๆ กะจิตกะใจจะไม่ให้แตะที่พักเลยเหรอ .. เอาวะ มาแล้วต้องเอาให้เต็มแม็กซ์

หลังจากขับมอเตอร์ไซค์ไปหาปั๊มน้ำมันเดียวที่อยู่กลางเกาะ เติมเต็มถัง NT$90 ก็พร้อมลุยกันเลย เส้นทางหลักจะเป็นกลางเกาะ กับเลียบชายฝั่ง ตามแผนที่ที่เอามาจาก Tourist Information Center หรือ Google map ก็ได้ครับ


Tunnel 88

ที่นี่เคยเป็นถ้ำหลบภัยจากโจรสลัด หลังจากทหารเข้ามาอยู่ก็ถูกใช้เป็นที่หลบภัยของทหารในช่วงสงคราม แต่เนื่องจากถ้ำนี้มีอุณหภูมิและความชื้นที่สม่ำเสมอทั้งปี ปัจจุบันเลยกลายเป็นที่เก็บและหมักเหล้าชั้นดี เดินเข้าไปก็จะกึ่มๆ มึนๆ นิดๆ

ภายในถ้ำจะมีการเรียงไหเหล้าโชว์ไว้

ภายในถ้ำจะมีการเรียงไหเหล้าโชว์ไว้ภายในถ้ำอากาศจะค่อนข้างชื้นพร้อมน้ำหยดตลอดเวลา ต้องค่อยๆเดิน ระวังลื่น

อีกส่วนเป็นแทงก์หมักเหล้าทันสมัย ได้มุมมองแปลกๆ ที่ดูลึกลับ ใช้เวลาเดินไม่นานก็ทั่วแล้ว ไปลุยข้างนอกกันต่อ


วัด 牛峰境

ตั้งอยู่ริมชายหาด ไม่ไกลจากหมู่บ้าน Niujiao Village ผนังถูกทาด้วยสีแดงสีแห่งความมงคลของคนเชื้อสายจีน เพิ่มความโดดเด่นตัดกับต้นไม้สีเขียวรอบข้าง


Jinsha Village

Jinsha Village ตั้งอยู่ทางใต้ของ Nangan’s Island (南竿島) หมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก ตั้งอยู่ริมหาด Golden Sands หมู่บ้านโบราณที่สร้างตามไหล่เขา ทำให้บ้านทุกหลังได้ดื่มด่ำกับวิวทะเล เอกลักษณ์คือการใช้หิน Limestone ก่อเป็นผนัง มีเพียงหน้าต่างแต่ไม่มีระเบียงหรือส่วนยื่นใดๆ และหลังคามีการใช้หินทับไว้ เป็นอาคารแบบเรียบง่ายและเท่มากๆ บ้านบางหลังเหลือเพียงซากปรักหักพัง จากลมพายุ รวมถึงมีบ้านสไตล์ฮกเกี้ยนหลายหลังก็ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ หมู่บ้านและหาดนี้เป็นจุดที่เหมะสำหรับการชมพระอาทิตย์ตกดิน

บนหลังคามักจะมีการใช้หินทับไว้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่นี่

บ้านที่นี่หลายหลังอายุกว่า 100 ปี หลายๆหลังก็ผุพังไปตามกาลเวลา แต่โครงสร้างของผนังที่แข็งแรงยังคงเหลืออยู่


Shengli villa

บ้านพักรับรองในสมัยนั้น ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ ปัจจุบันถูกปรับเป็นห้องจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ รูปภาพ วีดีโอ การซ้อมรบ และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนเกาะหนานกัง ในอดีต


Matsu Battlefield Culture Museum

พิพิธภัณฑ์สงครามหม่าจู ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงคราม ยุทธวิธีรบ และการต่อสู้อย่างฉลาดบนเกาะนี้ บางส่วนเป็นการนำเสนอแบบ Interactive ได้อย่างน่าสนใจ

วิธีการสร้างกับดัก ตั้งแต่ทุ่นระเบิดในทะเล เหล็กแหลมคม เศษแก้วที่ติดตามโขดหิน รั้วลวดหนาม ต้นไม้หนาม เรียกได้ว่ากว่าข้าศึกจะผ่านด่านมาถึงเกาะ ยากมากเลยทีเดียว


Gods of the White Horse Temple


Statue of the Goddess Mazu

Mazu คือ เทพพิทักษ์แห่งท้องทะเล ถูกสร้างไว้บนยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นรูปปั้นเทพเจ้า Mazu ที่สูงที่สุด (สูงถึง 28.8 m.) ด้านใต้รูปปั้น ยังมีอุโมงค์ยาวและเย็นเฉียบ รวมถึงเส้นทางธรรมชาติให้ได้เดินเล่นกันด้วย พื้นที่รอบๆยังอยู่ระหว่างการตกแต่งและก่อสร้าง ตอนเช้าแดดยังจ้าฟ้ายังใส แต่ตอนนี้ลมแรงมากเหมือนพร้อมที่จะพัดเราขึ้นไปบนฟ้า (แรงจนไม่กล้าเดินไปไหน) ไม่แปลกใจที่เครื่องบินมักถูกยกเลิกไฟลท์กันเป็นเรื่องปกติอัพเดทกันวันต่อวัน


Matsu Tianhou Temple

ที่นี่เป็นวัดขนาดใหญ่สร้างขึ้นโดยความศรัทธาที่มีต่อเทพเจ้า Mazu เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เสาถูกตกแต่งด้วยหินแกะสลักอย่างละเอียดอ่อนและซับซ้อน ผนังก็เป็นภาพแกะสลักและลงสีอย่างละเอียดอ่อน



Ren’ai Iron Fort

เกาะที่เป็นโขดหินขนาดเล็ก ถูกปรับให้เป็นป้อมปราการในช่วงสงคราม ชั้นล่างประกอบด้วยห้องต่างๆ รวมทั้งห้องเก็บปืน และปืนใหญ่สำหรับโจมตีข้าศึก

บนโขดหินจะมีการวางกับดัก โดยใช้เศษแก้วแตก ติดไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อป้องกันศัตรู


ชม Blue Tear ที่ Beihai Tunnel (Nangan)

อุโมงค์ Beihai ที่ Nangan เป็นอีกจุดที่เรียกว่าถ้าไม่มา ถือว่ามาไม่ถึง Matsu อุโมงค์นี้เชื่อมจาก Tieban Coast เข้าไปยังหน้าผายาว 640 เมตร ใช้เวลาขุดด้วยมือ ถึง 820 วัน เหตุผลนึงที่มาที่นี่คือการชม Blue Tear หรือแพลงก์ตอนประกายสีฟ้า ซึ่งเจอได้ง่ายที่นี่ แต่ต้องอยูในที่มืดสนิทเท่านั้น ภายในถ้ำนี้เลยกลายเป็นจุดชม Blue Tear โดยไม่ต้องรอดึกดื่น

ค่าล่องเรือ NT$300 โดยจะมีเป็นรอบๆตามเวลาที่กำหนด หากมาไม่ตรงรอบสามารถลงชื่อไว้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินก่อนขึ้นเรือ

ภายในถ้ำก็จะมืดสนิท เจ้าหน้าที่จะให้ไม้ตีน้ำมาคนละอัน วิธีการก็คือเอาไม้ตีน้ำให้น้ำกระเพื่อม แพลงก์ตอนสีฟ้าก็จะปรากฎวาบขึ้นมและหายไปอย่างรวดเร็ว อยากเห็นมากก็ตีมาก ถ้าเริ่มเมื่อยก็ดูคนอื่นตีไป ในความมืดบางทีเราถูกสาดน้ำก็มี 555 ถ่ายรูปยากมากจริงๆ แต่ถือเป็นอีกกิจกรรมที่สนุกดีเหมือนกัน


Indian Head Rock

จาก Beihai Tunned เราสามารถเดินเล่นริมโขดหินได้ จุดนี้เป็นจุดที่เหมาะที่สุดสำหรับชม เกาะหินรูปชนเผ่าอินเดียนแดง เหมือนจริงด้วย


กินมื้อดึกที่ Matsu Island

ตอนนี้ 1 ทุ่มแล้ว หลังจากล่องเรือเข้า Beihai Tunnel ฝนก็เริ่มเทลงมา ท้องเริ่มร้องเลยต้องหาของกินสักหน่อย มาถึง Matsu Island เลยอยากลองชิมอาหาร Local เลยขอคำแนะนำจาก Hostel เลยได้ร้านนี้มา ที่ร้านมีแต่ภาษาจีน (ตามเคย) พอกำลังจะชี้ๆโต๊ะข้างๆ ปรากฎว่าคุณพี่เจ้าของร้านพูดไทยได้! เค้าเคยอยู่เมืองไทยหลายปี โอ้วว ง่ายเลย เลยขอเป็นเมนูเร็วๆ อร่อยๆ ให้ทันครัวปิด

สิ่งที่ได้มา เป็นเมนูง่ายๆจริงๆ วัตถุดิบก็จากทะเลเนี่ยแหละ

หอยนางรมทอดกรอบมาก หอยตัวค่อนข้างเล็ก แป้งหอมและกรอบมาก สุดท้ายความกรอบกลบทุกอย่าง

ผัดหอยลาย

ข้าวผัดหมู ใช้ข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้นๆอวบๆ ผัดกับหมูหั่นชิ้นยาวๆ ไข่ ต้นหอม หอมอร่อยใช้ได้เลย

ซุปหอยตลับ น้ำซุปใสๆ กลมกล่อม ซดได้คล่องคอ

ค่าเสียหายมื้อนี้ NT$650


เท้าแตะที่พักสักที Matsu 1st Hostel

หลังจากเที่ยวมาเหนื่อยตลอดวัน ตั้งแต่เท้าเหยียบเกาะจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ตอนนี้ 4 ทุ่มแล้ว เพิ่งถึงที่พัก >< อะไรจะลุยขนาดนั้น ก่อนอื่นเลยขออาบน้ำให้นานที่สุด! ต้องการความสดชื่นแบบด่วนๆ

ตอนนี้มืด เลยไม่ได้เห็นบรรยากาศของ Hostel เท่าไหร่ ได้แต่เดินไปอาบน้ำยังห้องอาบน้ำที่แยกไปอยู่อีกอาคาร (กลางคืนถ้าจะเข้าห้องน้ำก็จะลำบากสักหน่อย) แต่ที่นี่เค้าเคลมว่าเป็นบ้านเก่ากว่า 100 ปีเลยนะ! ลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร เอาฟีลลิ่ง 555

 ห้องพักเลือกเป็นแบบ Dorm ซึ่งมีทั้งหมด 4 เตียง พักรวมกับกรุ๊ปอื่น เป็นคนจีนไต้หวันอีก 1 คน

สารภาพว่าถ่ายรูป Blue Tear ยากกว่าที่คิดมาก เพราะมันจะปล่องแสงแค่ตอนที่คลื่นซัดเข้าหาโขดหิน รูปที่ได้มาก็จะประมาณนี้ ก่อนละความพยายามแล้วซึมซับความสวยงามด้วยสายตาแทน..

หลังจากเสพย์แสงสีฟ้าจากเกลียวคลื่นจนหนำใจ เที่ยงคืนแล้วก็ตัดสินใจไป 7-11 เพื่อหาของกิน ขี่มอเตอร์ไซค์ไปไกลมาก ปรากฎว่า.. เซเว่นปิดจ้า! 555 เลยต้องกลับที่พักแบบหงอยๆ ในห้องแอบร้อนนิดๆ แต่บอกเลยคืนนี้หลับเป็นตาย

เอาหละมาชมบรรยากาศ Hostel ตอนกลางวันกัน อาคารภายนอกทำด้วยหิน Limestone แบบดั้งเดิมเลย หินเรียงกันเป็นก้อนๆ คูลมากๆ (ลองเทียบกับบ้านด้านขวาที่สร้างใหม่ จะเป็นแค่ลายคล้ายๆ เฉยๆ)

Common Area ที่นักท่องเที่ยวมักมาทำกิจกรรมร่วมกัน

ห้องครัวที่มีอุปกรณ์พร้อมกีตาร์ ถ้ามีคนเล่นเป็นก็คงเพลินกันไปทั้งหลัง

หลังจากเก็บของเสร็จ ต้องรีบไปขึ้นเรือให้ทันรอบ 8.30 am ก็ทิ้งสัมภาระไว้ที่ Hostel โดยให้เค้าเอาไปให้เราที่ท่าเรือ จ่ายเพิ่มอีก NT$

มาถึงแล้วก็เดินเข้าไปในอาคารใหญ่ๆ เพื่อซื้อตั๋วเรือวันนี้

ตั๋วไป Keelung วันนี้รอบ 9.30 am โดยจะต้องขึ้นเรือเวลา 8.30 am โดยเป็นการเดินทางกลางวัน ค่าเรือกลับคนละ NT$ 800 เรียกว่าใช้เวลาบนเรือเต็มๆวัน และยังเป็นตั๋วนอนเหมือนเดิม เรียกได้ว่าสามารถนอนกันได้เต็มอิ่ม ขากลับวันนี้คลื่นลมแปรปรวนมาก เรือโคลงเคลงแบบสุด ปกติไม่เคยเมารถเมาเรือเลยชะล่าใจไม่ได้กินยาดักไว้ คราวนี้เลยเมาเรือเละเทะ หน้าซีดปากเขียวไปหมด >< แต่สุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ ประมาณ 6.00 pm ก็มาถึง Keelung เรียบร้อย


Matsu Island ไว้เจอกันใหม่นะ

ส่วนตัวผมชอบ Matsu Island นะ เหมือนเป็น Private Island คือมีนักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ไม่พลุกพล่าน ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ง่าย รถไม่เยอะ แถมผู้คนก็น่ารักมากๆ คอยต้อนรับให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา แม้จะพูดภาษาอังกฤษกันได้ไม่มากก็ตาม บรรยากาศที่นี่ยังมีกลิ่นอายของสนามรบและสงคราม ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ป้อมปราการ เขตทหารที่ยังคงมีอยู่ รวมถึงทหารที่อยู่ตามจุดต่างๆ (แถมบางอาคารยังห้ามถ่ายรูปด้วย) ทำให้ดูขึงขัง พอรวมกับอาคารบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์ ผมเลยชื่นชอบเป็นพิเศษ นี่ยังไม่รวมความน่าตื่นตาตื่นใจของคลื่นสีฟ้าของ Blue Tear มาครั้งนี้ถึงจะแค่วันเดียว แต่สำหรับผมถือว่าคุ้มมากๆ

ทริป Matsu Island ถือว่าเป็นทริปที่ต้องลุ้นตลอดเวลา ตั้งแต่เพื่อนชาวไต้หวันทักว่า ไปทำไมคนไต้หวันยังไม่ไปเลย และตอนขาไปก็ลุ้นว่าจะได้ขึ้นเรือมั้ย เที่ยวเรือจะถูกยกเลิกมั้ย ไปแล้วจะติดเกาะมั้ย เพราะถ้าอากาศแปรปรวนอีก อาจไม่มีเครื่องบินหรือเรือกลับ สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าจะกลับตั้งแต่วันถัดเพื่อให้ไม่ให้ตกเครื่องบิน กลายเป็นทริป 1 วัน 1 คืน ที่ Nangan ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับผม แต่เสียดายอยากไปเก็บเกาะอื่นๆให้ครบด้วย ถ้ามีเวลาอีกจะแวะมาเก็บให้ครบอีกครั้ง

About the author

Max

Add Comment

Click here to post a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

%d bloggers like this: